ผมไปเจอ TED Talk ของคุณ John Mullins มา เลยนำมาสรุปไว้เป็นบทความ

"คิดถึงปัญหาก่อน" แล้วค่อย หาสินค้า

John Mullins เป็นศาสตราจารย์ด้านการจัดการการตลาดและผู้ประกอบการที่ London Business School มีประสบการณ์ทั้งในแวดวงการศึกษาและอุตสาหกรรม

มีผลงานเขียนหนังสือหลายเล่มที่ได้รับความนิยม เช่น "The New Business Road Test" และ "Getting to Plan B"

นอกจากนี้ เขายังเป็นนักพูดที่ได้รับการยอมรับและมีผลงานวิจัยที่มุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาในโลกธุรกิจ การสร้างกลยุทธ์ที่สร้างสรรค์ และการพัฒนาทักษะการเป็นผู้ประกอบการ

ต่อไปนี้ คือ 6 แนวคิดที่สามารถเปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่

1. "Yes, we can" (ได้ แน่นอน)

เปิดรับโอกาสใหม่ๆ แม้จะอยู่นอกขอบเขตความเชี่ยวชาญหลักของคุณ

Arnold Correia ผู้ก่อตั้ง Atmo Digital ในบราซิล เริ่มต้นจากการเป็นผู้จัดการอีเวนต์ธรรมดาๆ แต่เมื่อลูกค้าขอให้เขาติดตั้งระบบถ่ายทอดสดผ่านดาวเทียมไปยังร้านค้า 260 แห่งทั่วบราซิล

เขาไม่ปฏิเสธ แม้จะไม่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีดาวเทียมเลย แทนที่จะบอกว่า

"เราทำไม่ได้" ... Arnold กลับตอบว่า... "ได้ แน่นอน"

และเริ่มศึกษาเทคโนโลยีใหม่ ผลลัพธ์คือ เขาไม่เพียงทำสำเร็จ แต่ยังนำไปสู่การขยายธุรกิจไปสู่การให้บริการด้านดิจิทัลที่ครอบคลุมมากขึ้น จนกลายเป็น Atmo Digital ที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน

2. "Problem-first, not product-first logic" (คิดถึงปัญหาก่อน ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์)

มุ่งเน้นการแก้ปัญหาแทนที่จะคิดถึงแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์

Jonathan Thorne ผู้พัฒนาเครื่องมือผ่าตัดที่ไม่ติดเนื้อเยื่อ เริ่มต้นด้วยการสังเกตปัญหาที่แพทย์ประสบในห้องผ่าตัด:

เครื่องมือผ่าตัดมักติดกับเนื้อเยื่อของคนไข้ แทนที่จะคิดว่า

"เราจะสร้างเครื่องมือผ่าตัดแบบใหม่อย่างไร"

เขากลับถามว่า "เราจะแก้ปัญหาการติดของเครื่องมือกับเนื้อเยื่อได้อย่างไร"

ด้วยแนวคิดนี้ Jonathan พัฒนาโลหะผสมเงิน-นิกเกิลที่ไม่เพียงแก้ปัญหาการติดเนื้อเยื่อ แต่ยังปฏิวัติวงการศัลยกรรม โดยเฉพาะในด้านประสาทศัลยศาสตร์ ทำให้การผ่าตัดสมองและไขสันหลังมีความแม่นยำและปลอดภัยมากขึ้น

3. "Think narrow, not broad" (คิดแคบ ไม่ใช่กว้าง)

เน้นตลาดเฉพาะกลุ่ม แทนที่จะพยายามเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่

ทันที Philip Knight และ Bill Bowerman ผู้ก่อตั้ง Nike ในยุคที่รองเท้ากีฬาส่วนใหญ่ออกแบบมาสำหรับนักวิ่งระยะสั้น Knight และ Bowerman กลับมองเห็นช่องว่างในตลาด

พวกเขาไม่ได้พยายามสร้างรองเท้าที่เหมาะกับทุกคน แต่มุ่งเน้นไปที่กลุ่มนักวิ่งระยะไกลระดับชั้นนำ

โดยออกแบบรองเท้าที่มีเสถียรภาพด้านข้างดีขึ้น พื้นรองเท้ากว้างขึ้น และมีน้ำหนักเบา การมุ่งเน้นที่ตลาดเฉพาะนี้ทำให้พวกเขาสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์อย่างแท้จริง

จนได้รับการยอมรับจากนักกีฬามืออาชีพ และนำไปสู่การขยายไปสู่กีฬาประเภทอื่นๆ จนกลายเป็นแบรนด์ระดับโลกอย่าง Nike ในปัจจุบัน

4. "Asking for the cash, and riding the float" (ขอเงินสดและใช้ประโยชน์จากกระแสเงินสด)

จัดการเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพ เข้าใจว่าเงินสดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจ

Elon Musk และทีม Tesla พบว่าแผนธุรกิจเดิมที่จะสร้างรถยนต์ไฟฟ้าราคาแพงก่อน แล้วค่อยๆ ลดราคาลงมา อาจไม่เพียงพอที่จะสร้างกระแสเงินสดที่จำเป็น

Musk จึงปรับกลยุทธ์โดยการระดมทุนอย่างชาญฉลาด ทั้งจากนักลงทุนและการรับจองล่วงหน้า

นอกจากนี้ เขายังใช้เงินสดที่ได้มาลงทุนในการวิจัยและพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ Tesla สามารถสร้างนวัตกรรมได้อย่างต่อเนื่อง

แม้ในช่วงที่ยังไม่มีกำไร การจัดการเงินสดอย่างชาญฉลาดนี้ทำให้ Tesla สามารถอยู่รอดและเติบโตจนกลายเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน

5. "Embrace uncertainty" (โอบรับความไม่แน่นอน)

ยอมรับว่าความไม่แน่นอนเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นผู้ประกอบการและใช้มันเป็นแรงผลักดัน

Lynda Weinman ผู้ก่อตั้ง Lynda.com เริ่มต้นจากการสร้างเว็บไซต์เพื่อเป็นพื้นที่แสดงผลงานของนักเรียนในชั้นเรียนกราฟิกดีไซน์ของเธอ

โดยไม่รู้เลยว่ามันจะนำไปสู่อะไร แทนที่จะกลัวความไม่แน่นอน เธอกลับเปิดรับมัน เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลง เธอปรับตัวโดยย้ายการสอนทั้งหมดไปออนไลน์ในปี 2002

แม้จะไม่แน่ใจว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ การยอมรับและปรับตัวตามความไม่แน่นอนนี้ทำให้ Lynda.com กลายเป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ชั้นนำ จนถูกซื้อกิจการโดย LinkedIn ในมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

6. "Continuous learning and adaptation" (เรียนรู้และปรับตัวอย่างต่อเนื่อง)

พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตามสถานการณ์

Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook (ปัจจุบันคือ Meta) เริ่มต้น Facebook ในฐานะเครือข่ายสังคมออนไลน์สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัย

แต่เขาไม่หยุดเรียนรู้และปรับตัว เมื่อโซเชียลมีเดียกลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตผู้คน เขาขยาย Facebook ให้ครอบคลุมผู้ใช้ทั่วโลก

เมื่อเทคโนโลยีมือถือมาถึง เขาปรับกลยุทธ์ให้เน้น "Mobile First" และ เมื่อเห็นศักยภาพของเทคโนโลยี AR และ VR

เขาไม่ลังเลที่จะลงทุนมหาศาลและเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta เพื่อมุ่งสู่อนาคตของ Metaverse การเรียนรู้และปรับตัวอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้บริษัทของเขายังคงเป็นผู้นำในยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

จงจำไว้ว่า ทุกธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ล้วนเริ่มต้นจากความคิดเล็กๆ และคนธรรมดาที่กล้าฝัน กล้าทำ ในตัวคุณมีของเก่งพอจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้ว เพียงแค่คุณต้องปลดปล่อยมันออกมา ด้วย 6 แนวคิดนี้

ส่งท้ายด้วย...

อย่าหลงรักสินค้าตัวเองมากไปแต่ให้สร้างวิธีขาย ที่คนจะซื้อกับคุณเท่านั้น