ในการสร้าง product ใหม่ไม่ใช่แค่การทำของให้เสร็จ แต่เป็นการสร้างงานที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง หลายๆ ครั้งที่เราทุ่มเงิน ทรัพยากร และ เวลาไปกับการสร้าง features มากมาย แต่ไม่มีใครใช้ หรือ ลูกค้าบ่นว่ายุ่งยากเกินไป

จึงเกิดความคิดในการผลิตงานออกมาเมื่อให้ได้ รู้ผลลัพธ์ มาให้เร็วที่สุด เพื่อยืนยันว่าไอเดียของเราถูกต้องไหม ถ้าใช่ก็ทำต่อ ถ้าไม่ใช่ก็ปรับปรุง หรือ หยุดพัฒนาต่อไปเลย เพื่อที่จะประหยัดเงิน ทรัพยากร และเวลา

บทความนี้ เราจะมาอธิบายแนวคิด MVP, MMP, และ MLP ที่จะช่วยให้เราสร้างผลิตภัณฑ์ที่โดนใจลูกค้า และ เติบโตอย่างยั่งยืน


1. MVP (Minimum Viable Product)

"ทำไมต้องสร้างทุกอย่างในครั้งเดียว?"

MVP คือ ทำ "ของที่ใช้งานได้" แค่นั้นพอ

เรามักคิดว่าถ้าจะสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ต้องใส่ทุกอย่างที่คิดไว้ ลงไปใน version แรกสุด แต่ในความเป็นจริง การทำแบบนั้น คือ การสิ้นเปลืองทรัพยากร และ เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์

Pain Point ที่คนทำ product มักเจอ คือ "เราไม่รู้ว่าลูกค้าต้องการอะไรจริงๆ" หรือ "features ที่เราคิดว่าดี ลูกค้าอาจจะไม่ได้ใช้

MVP จึงเข้ามาแก้ปัญหานี้ ด้วยการสร้างแค่ feature พื้นฐานที่สุด ที่สามารถแก้ไขปัญหาหลักให้ลูกค้าได้ก่อน เพื่อนำไปทดสอบและเรียนรู้จากผู้ใช้งานจริง ซึ่งเราจะเลือก core feature หรือ scenario ที่มีผู้ใช้งานเยอะที่สุดก่อน

ปัญหาที่มักเจอเมื่อใช้ MVP:

  1. Viable ไม่พอ: บางครั้งเราสร้างสิ่งที่ "Minimum" เกินไปจนไม่ ทำให้ ไม่มีความสามารถพอที่จะใช้งานได้ เช่น การทำแอปจองห้องพักที่ไม่มีระบบจ่ายเงิน ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถจองได้จริง
  2. ติดกับดัก MVP: หลังจากปล่อย MVP แล้ว ไม่ยอมพัฒนาต่อ คิดว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ทำให้ product ไม่เติบโต และ ถูกคู่แข่งแซงหน้าไป

คำถามที่พบบ่อย: MVP ควรมี MVP1, MVP2, MVPN หรือไม่?

ไม่ควรมี เพราะตามนิยามของ MVP คือ "Version ขั้นต่ำที่สุด" ที่สร้างขึ้นเพื่อทดสอบสมมติฐานเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

หาก MVP ล้มเหลว ก็คือ ล้มเหลว หาก MVP ประสบความสำเร็จ เราก็จะก้าวไปสู่การสร้าง product ที่สมบูรณ์ขึ้นใน phase ถัดไป ซึ่งอาจเป็น MMP หรือ การเพิ่ม feature ที่สำคัญอื่นๆ

การมี MVP1, MVP2, MVPN จะทำให้เราสับสน และ หลงประเด็นไปจากเป้าหมายหลักของการเรียนรู้ได้

ตัวอย่าง Mobile Banking

แทนที่จะสร้าง app ที่มี feature เต็มไปหมด เราอาจจะเริ่มจากสิ่งที่ลูกค้าบ่นมากที่สุดก่อน คือ "อยากโอนเงินได้เร็วๆ" ดังนั้น MVP ของเรา คือ app ที่มีแค่ การเข้าสู่ระบบ, การดูยอดเงิน, และการโอนเงิน แค่ 3 อย่างนี้ ก็พอแล้ว


2. MMP (Minimum Marketable Product)

"ทำไมลูกค้าไม่ยอมใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา?"

MMP คือ "ของที่น่าใช้" และ พร้อมขายในตลาด

หลังจากปล่อย MVP ออกไป เมื่อเราพอจะรู้แล้วว่า ลูกค้าอาจจะพอใจแล้ว แต่ยังไม่ถึงขั้นอยากบอกต่อ หรือ เมื่อนำไปทำการตลาดจริงๆ อาจจะสู้คู่แข่งไม่ได้

Pain Point ในขั้นนี้ คือ "app เรามีประโยชน์นะ แต่มัน...?" หรือ "ไม่มี feature ที่ลูกค้าต้องการจริง ๆ เลย

MMP จึงเข้ามาแก้ปัญหานี้ โดยการเพิ่ม features ที่สำคัญต่อการแข่งขัน และ ดึงดูดลูกค้ามากขึ้น ทำให้ product มีความสมบูรณ์มากขึ้น

ปัญหาที่มักเจอเมื่อใช้ MMP

  1. ฟีเจอร์ล้นเกินไป: บางครั้งเราพยายามใส่ฟีเจอร์มากมายจน app ซับซ้อนเกินความจำเป็น ทำให้ลูกค้าใหม่ ๆ ใช้งานยาก
  2. มองข้ามคุณภาพ: ในการเร่งพัฒนา เพื่อเพิ่ม features อาจทำให้มองข้ามคุณภาพของโค้ด หรือ การออกแบบ ส่งผลให้ app มี bugs มากมาย และ ใช้งานได้ไม่ดี

ตัวอย่าง Mobile Banking

จากแอป MVP ที่ทำได้แค่โอนเงิน เราจะใช้ Feedback จากลูกค้ามาเพิ่ม features ที่จำเป็น เช่น การจ่ายบิล (ค่าน้ำ, ค่าไฟ), การสแกน QR Code และ ประวัติการทำรายการ

ในขั้นนี้ app ของเราจะมีความสามารถที่ใกล้เคียงกับคู่แข่ง และมีจุดขายที่สามารถดึงดูดลูกค้าให้มาใช้งานได้


3. MLP (Minimum Lovable Product)

"ทำอย่างไรให้ลูกค้าไม่หนีไปใช้ของคนอื่น?"

MLP คือ "ของที่รัก" และ อยากบอกต่อ

เมื่อผลิตภัณฑ์มีฟีเจอร์ครบครันแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรักษาลูกค้าไว้กับเราในระยะยาว Pain Point ที่ธุรกิจต้องเผชิญ คือ "ลูกค้าหายไป" หรือ "ไม่มีใครพูดถึงแอปเราเลย" ซึ่งเป็นผลมาจากการที่แอปของเราไม่ได้สร้างความประทับใจ หรือ ความผูกพันให้พวกเขา

MLP จึงเข้ามาตอบโจทย์นี้ด้วยการมุ่งเน้นสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมเกินความคาดหวังของลูกค้า ทำให้พวกเขารู้สึกพิเศษและกลายเป็น Brand Advocate

ปัญหาที่มักเจอเมื่อใช้ MLP

  1. โฟกัสผิดจุด: บางครั้งเราพยายามสร้างสิ่งที่ 'Lovable' โดยที่ยังไม่ตอบโจทย์ปัญหาพื้นฐานของลูกค้าได้ดีพอ เช่น มี UI สวยงามแต่แอปทำงานช้า
  2. ใช้ทรัพยากรมากเกินไป: การสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมต้องใช้ทั้งเวลาและเงินจำนวนมาก หากเราไม่วางแผนให้ดี อาจทำให้โครงการบานปลายและไม่คุ้มค่า

ตัวอย่าง Mobile Banking

นอกเหนือจากฟีเจอร์พื้นฐาน เราจะเพิ่มลูกเล่นที่ทำให้ผู้ใช้ประทับใจ เช่น ระบบ Personalization ที่แนะนำโปรโมชันที่ตรงใจ, การออกแบบ UI/UX ที่สวยงาม พร้อมเสียงแจ้งเตือนที่ไม่น่าเบื่อ หรือ ระบบสรุปการใช้จ่ายรายเดือน ที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าแอปไม่ได้แค่ทำธุรกรรม แต่ยังช่วยจัดการการเงินให้พวกเขาด้วยหลักการทำงานในชีวิตจริง

มอง MVP ให้เป็นการทดลอง (Experiment) ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์

การปล่อย MVP คือ การตั้งสมมติฐานว่า "ถ้าเราทำแบบนี้ ลูกค้าจะใช้ไหม?" แล้วนำ Feedback กลับมาเพื่อยืนยันหรือหักล้างสมมติฐานนั้น

หาก MVP ไม่เวิร์กก็ต้องกล้าที่จะเปลี่ยนหรือแม้กระทั่งยกเลิกโครงการ ไม่ใช่ทู่ซี้พัฒนาต่อ

MMP คือ การสร้างฐานที่แข็งแกร่ง

เมื่อ MVP พิสูจน์แล้วว่ามีผู้ใช้จริง เราต้องพัฒนาต่อยอดให้กลายเป็น MMP เพื่อสร้างฐานลูกค้าที่มั่นคง MMP จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญของการลงทุนเพื่อคุณภาพและความน่าเชื่อถือ ไม่ใช่แค่การเพิ่มฟีเจอร์

MLP คือ การสร้างความได้เปรียบที่ยั่งยืน

การทำให้ลูกค้ารัก คือ อาวุธลับที่คู่แข่งลอกเลียนแบบได้ยาก การพัฒนา MLP ต้องทำควบคู่ไปกับการรับฟังเสียงลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เพื่อหาช่องว่างที่สามารถสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมขึ้นไปอีกขั้น

การทำวนซ้ำและไม่หยุดนิ่ง

เมื่อเราได้ MLP ที่ลูกค้าชื่นชอบแล้ว หน้าที่ของเราไม่ได้จบลงแค่นั้น แต่ คือ การกลับไปทำ MVP ใหม่ในฟีเจอร์ถัดไปเสมอ เช่น เมื่อทำ MVP/MMP/MLP สำหรับการโอนเงินสำเร็จแล้ว เราอาจจะเริ่มวงจรใหม่สำหรับฟีเจอร์ด้านการลงทุน โดยเริ่มจาก MVP สำหรับการซื้อกองทุนง่าย ๆ ก่อน

Product Mindset ที่สำคัญ

สินค้าที่เลิกพัฒนา คือ สินค้าที่ตายแล้ว การหยุดนิ่ง คือ การถอยหลัง เพราะคู่แข่งจะพัฒนาไปข้างหน้าอยู่เสมอ Product Manager จึงต้องมี Mindset ว่าผลิตภัณฑ์ต้องเติบโตและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ปล่อยออกไปแล้วจบ

ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ไม่ใช่ความรู้สึก

ทุกการตัดสินใจในการเพิ่มฟีเจอร์หรือปรับปรุงแอป ควรมาจากข้อมูล (Data) จากการใช้งานจริงและ Feedback ของลูกค้า ไม่ใช่แค่ความคิดเห็นของคนในทีม

ยอมรับความล้มเหลว

การทำ MVP คือ การเปิดโอกาสให้ล้มเหลวในขนาดเล็ก เพื่อเรียนรู้และนำไปสู่ความสำเร็จในขนาดที่ใหญ่ขึ้น


สรุป

MVP, MMP, และ MLP เป็น กระบวนการคิด และ ทำงานที่ทำให้เราสร้างผลิตภัณฑ์ที่อยู่รอด และ เติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดที่มีการแข่งขันสูง

ผลิตภัณฑ์ที่หยุดพัฒนา คือ ผลิตภัณฑ์ที่ตายแล้วในมุมมองของ Product Manager การเดินทางจาก MVP ไปจนถึง MLP จะไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่เป็นเพียงการเริ่มต้นของ "Product Lifecycle" ที่ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องในโลกธุรกิจที่พฤติกรรมผู้ใช้เปลี่ยนไปตลอดเวลา