บทความนี้จะสรุปวิธีการกำหนดค่า เพื่อให้ Cursor AI สามารถ ทำงานได้ดีขึ้นกัน
ถ้าเราใช้งานบ่อยๆ การกำหนดค่าต่างๆ เหล่านี้เป็นเรื่องปกติเลยก็ว่าได้
ทำไม Cursor AI ถึงแตกต่าง?
Cursor ไม่ใช่แค่ autocomplete engine มัน คือ คู่หู AI ในการเขียนโค้ดที่สามารถ:
- เข้าใจทั้ง codebase และสถาปัตยกรรมของเรา
 - เขียน/รีแฟกเตอร์หลายไฟล์พร้อมกัน
 - สนทนาเชิงบริบทเกี่ยวกับโปรเจกต์ของเราโดยเฉพาะ
 - ปฏิบัติตามสไตล์การเขียนโค้ดของเรา (ถ้าเราฝึกมันอย่างถูกต้อง)
 
ความแตกต่างระหว่าง ผู้ใช้ทั่วไป กับ ผู้ใช้ที่ใช้งาน Cursor เป็น คือ อะไร?
- ผู้ใช้ทั่วไป: “เขียนฟังก์ชันสำหรับ parse JSON ให้หน่อย”
 - ผู้ใช้งานเป็น: “ในโมดูล data_pipeline ของเรา ขยายขั้นตอน transform ให้รองรับ nested JSON, รักษา latency ให้น้อยกว่า 50ms และเขียนเทสต์ใน test_pipeline.py ด้วย”
 
การเปลี่ยนมุมมอง: โค้ด คือ การสนทนา
นักพัฒนาระดับท็อปมองว่า Cursor เป็นผู้ร่วมงาน ไม่ใช่ตู้กดน้ำอัตโนมัติ แทนที่จะสั่งงานแบบสั้น ๆ พวกเขาจะ:
- ให้บริบทล่วงหน้า — สถาปัตยกรรม, ข้อจำกัด, กฎการตั้งชื่อ
 - ขอเหตุผล — “อธิบายแนวทางก่อนลงมือเขียนโค้ด”
 - ทำงานแบบวนรอบเล็ก ๆ — ตรวจสอบ, ปรับแก้, สร้างใหม่
 
คิดซะว่าเป็นการ pair programming กับเด็กฝึกงานที่เร็วมาก — และเรา คือ พี่เลี้ยง
การตั้งค่าที่ชนะ
ก่อนจะเริ่มใช้ Cursor เขียนโค้ด:
- สร้างโฟลเดอร์ PROMPTS/ ใน repo ของเรา → ตอนนี้ Cursor จะมี “คำสั่งอ้างอิง” ที่ยึดโยงเสมอ
architecture.md— ไดอะแกรมระบบระดับสูง, โมดูล, dependenciesguidelines.md— สไตล์การเขียนโค้ด, patterns ที่ควร/ไม่ควรใช้, กฎการจัดการ errortesting.md— กรอบการทดสอบ unit/integration, ความคาดหวังด้าน coverage
 - ใช้ “Codebase Chat”
- ถามได้ว่าฟังก์ชันถูกใช้ที่ไหน
 - หา dependencies โดยไม่ต้อง grep
 - trace bug ได้เร็วขึ้น
 
 - สลับไปใช้โหมด Multi‑File
- เวลารีแฟกเตอร์ ให้ generate ข้ามหลายไฟล์พร้อมกัน
 - เช่น: อัปเดต schema → Cursor จะอัปเดต migrations, models และ tests ไปพร้อมกัน
 
 
สร้าง Workflow 10× ในการใช้งานจริง
นี่ คือ ตัวอย่าง session ในใช้งาน Cursor:
- Step 1: กำหนดเป้าหมาย “เรากำลังเพิ่ม ‘draft mode’ ให้ blog posts ต้องบันทึกใน DB, มองเห็นได้เฉพาะเจ้าของ, และไม่ทำให้ flow การ publish ที่มีอยู่พัง”
 - Step 2: ให้บริบท “อ้างอิง PostModel, PostController และpermissions.py ฐานข้อมูลเราใช้ PostgreSQL กับ SQLAlchemy ORM และให้ทำตาม pattern การจัดการ error ใน exceptions.py”
 - Step 3: ขอแผนก่อน “ก่อนเขียนโค้ด ให้แผนการ implement แบบละเอียด พร้อมไฟล์, ฟังก์ชัน, และขั้นตอน migration”
 - Step 4: อนุมัติ → Generate เมื่อแผนดูโอเคแล้ว ให้ Cursor สร้างโค้ด
 - Step 5: ตรวจสอบอย่างเข้มงวด
- ตรวจ logic mismatch
 - ตรวจความสม่ำเสมอของการตั้งชื่อ
 - ตรวจสอบสมมติฐานด้าน performance
 
 - Step 6: สร้าง Auto‑Generate Tests “เขียน pytest tests สำหรับทุกฟังก์ชันใหม่ โดย mock DB calls ถ้าเป็นไปได้”