เห็นมีคนแชร์มาเลยเข้าไปฟังระหว่างวัน Andrew Wiless ได้รับรางวัล Abel Prize (เทียบเท่า Nobel ของคณิต) จากการแก้โจทย์ ของ Fermat’s Last Theorem โจทย์คือ: xⁿ + yⁿ = zⁿ โดยที่ n เป็นจำนวนนับที่มากกว่า 2 อื้อหือบรรทัดเดียวแก้มา 356 ปี (ตะลึงกันทั้งโลก)
วันนี้จะจะพาคุณดู Framework ที่ Wiles ใช้เพื่อ ถอดรหัสความเป็นไปไม่ได้ พร้อมนี้ นักจิตวิทยา Herbert Simon และ Allen Newell มาแจมด้วย
ฝึก "เปลี่ยนเฟรม"
แทนที่จะหาคำตอบตรงๆ คนทั่วไปถามว่า "จะแก้ยังไงดี?" แต่นักแก้ปัญหามืออาชีพถามว่า
เรากำลังมองปัญหานี้จากเฟรมที่ผิดหรือเปล่า?
Andrew Wiless ไม่ได้ถามว่า "จะแก้สมการนี้ยังไง" แต่เขาถามว่า "ถ้าเรามองมันจากอีกศาสตร์หนึ่งล่ะ"
เช่น
- เรขาคณิต?
- Modular Form?
- Galois Theory?
ลองมองปัญหาเดิมจาก มุมมองของอีกวงการ เช่น
- ปัญหางานออกแบบ = มุมของธุรกิจ
- ปัญหาความรัก = มุมของระบบความเชื่อ
- ปัญหาเงิน = มุมของความกลัว
แค่คุณเปลี่ยนเฟรม ปัญหาก็อาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ใช้ "Problem Space Thinking"
แทนที่จะคิดว่าปัญหามีแค่คำตอบเดียว ลองคิดแบบ Herbert Simon และ Allen Newell ทุกปัญหา คือ เขาวงกต Problem Space
มันเหมือนเราหลับตาเดินในห้องมืด ตอนแรกก่อนเลย ปัญหามัน คือ โลกที่คุณต้องเดิน หาทางออกโดยไม่มีแผนที่
เราลองฝึก Map ปัญหาของเราดู วาด Mind Map หรือ Flow Diagram ของปัญหา
โดยเริ่มจาก "สถานะปัจจุบัน" ไปหา "สถานะเป้าหมาย"
เขียนให้ชัดว่ามี "ทางเลือกอะไร" และ "เงื่อนไขของแต่ละทางคืออะไร"
นักแก้ปัญหาที่ดี ไม่กลัวปัญหาใหญ่ เพราะเขาสร้าง แผนที่ เพื่อค่อย ๆ หาทางเดิน
กลยุทธ์สำคัญ: เป้าหมายย่อย, การจำกัดขอบเขต, และการย้อนกลับ
Simon-Newell บอกว่า การแก้ปัญหาที่ดี เริ่มจากการ ลด Problem Space ให้เล็กลง เพื่อให้ไม่จมหายไปในตัวเลือกนับไม่ถ้วน
กลยุทธ์สำคัญ คือ Means-End Analysis ในการตั้งเป้าหมายย่อย แล้วหาวิธีลดช่องว่างระหว่างปัจจุบัน กับ เป้าหมายนั้น
Heuristics ใช้ หลักลัดทางตรรกะ เช่น ลองวิธีที่คล้ายของเดิม หรือ ย้อนกลับจากจุดหมาย
Chunking แบ่งปัญหาเป็นชิ้นเล็กที่เข้าใจได้ ปรับใช้กับเราลอง ใช้ Bullet Journal หรือ Task Breakdown ที่แยกชิ้นส่วนปัญหาออกมาทุกครั้งที่คิดว่ามันใหญ่ไป ให้ถามว่า "ถ้าแบ่ง 5 ส่วน ฉันเริ่มตรงไหนได้เลยพรุ่งนี้?"
ยิ่งคุณแบ่งได้เล็ก ปัญหาก็ยิ่งจับต้องได้
สร้าง "เครื่องมือหลายชุด" อย่ายึดติดกับดาบเล่มเดียว
Wiles ไม่ได้ใช้แค่วิชาคณิตศาสตร์ประเภทเดียว แต่เขา "รวมศาสตร์หลายๆ ด้าน" แล้วประกอบมันใหม่ เหมือนต่อเลโก้ข้ามกล่อง
เพราะปัญหาใหญ่ไม่เคยถูกแก้ด้วยมุมมองเดียว เราลองเรียนรู้หลากหลายสกิล แม้ดูไม่เกี่ยวกัน เช่น Coding, Psychology, Business Model
สะสม "Mental Models" เช่น First Principles, Inversion, Second-Order Thinking
ทุกครั้งที่เจอปัญหา ลองถามว่า "เครื่องมือที่ใช้ไม่ได้ตอนนี้ คือ อะไร?" แล้วหาเครื่องมือใหม่มาเติม อย่าถือดาบเล่มเดียวในโลกที่ต้องการ Multi-tool
ฝึก "Deep thinking นานๆ"
เพื่อเข้าใจให้ลึกกว่าคนทั่วไป สุดท้าย คือ สิ่งที่คนยุค AI ไม่ชอบที่สุด เวลานิ่งๆ กับปัญหา
Wiles ใช้เวลา 7 ปี แบบเงียบๆ โดยไม่บอกใครว่าเขากำลังทำอะไร
เพราะ บางปัญหา ถ้าคุณเร่งเกินไป คุณจะพลาดแก่นของมัน
เราลองปรับแบบนี้สร้าง "Deep Work Zone" สัก 2-3 ชั่วโมง ต่อ วัน เพื่ออยู่กับปัญหายากปิด notification หยุดวิ่งตาม quick win และ ยอมอยู่กับความอึดอัดของปัญหา เขียนบันทึก Reflect ว่า ทำไมคุณยังไม่เข้าใจ
แล้วหาวิธีใหม่แทนการฝืน นักแก้ปัญหาที่แท้ ไม่กลัวความเงียบ เขากลัวแค่ "การอยู่กับปัญหาตื้น ๆ”
สามารถเข้าไปนั่งฟังได้ที่ https://youtu.be/4t1mgEBx1nQ?si=WRWW4L85v49HQAPu