ในปี 2023 นี้ เป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่าง ซึ่งแต่ละอย่างนั้น ค่อนข้างเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและใหญ่สำหรับผม
เริ่มต้นจาก...
การลาออกครั้งสำคัญ
หากใครรู้จักผมมานานแล้วนั้น จะรู้ดีว่าผมนั้นอยู่บริษัทเดียวมานานมาก ได้ทำงานในหลายๆ ส่วนตั้งแต่ Front-end, Lead, Head of, จนถึงตำแหน่งสุดท้ายก่อนจากออกคือ CTO สิริรวมเวลาทั้งหมดคือ 7 ปีกับอีก 5 เดือน
มันเป็นช่วงเวลาที่สนุกมากๆ ได้ทำอะไรที่มันท้าทาย ได้คิด Feature คิดหาทางออก คิด Product ใหม่ๆ ไปจนถึงการปรับกระบวนการทำงานต่างๆ
มีน้องๆ ที่เชื่อมือได้ ที่พร้อมจะไปกับเรามันเป็นอะไรที่โคตรดีเลย อีกทั้งยังมี Mutuality ที่สูงในระดับหนึ่ง มันให้งานการปรับกระบวนการหลายๆ อย่างมันราบรื่น และสนุก
แต่ต่อให้ช่วงเวลาเหล่านั้นจะดีแค่ไหน วันหนึ่งมันก็ต้องจบลง ผมเริ่มไม่สนุกกับการอยู่ที่นี่อีกต่อไป ด้วยเหตุและปัจจัยหลายๆ อย่าง จริงๆ ผมมีเป้าว่าจะยังอยู่ให้นานกว่านี้ แต่ยิ่งอยู่มันยิ่งแย่ ยิ่งอยู่ยิ่งลดคุณค่าของตัวเองลง และเมื่อถึงจุดหนึ่งผมก็ต้องเลือกว่าจะอยู่ต่อหรือพอแค่นี้
จริงๆ ผมมีเหตุผลหลายอย่างที่นำมาพิจารณา ผมถามกับตัวเองเยอะมาก มองหลายๆ มุมมาก หนึ่งในนั้นคือ คำถามที่ว่า...
ทุกเช้าที่ตื่นมา เรายังรู้สึกว่าอยากทำงานนี้อยู่ไหม?
คิดวนๆ ซ้ำๆ จนกระทั้งได้คำตอบว่า "ไม่ พอแล้ว" ก็ตัดสินในเดินไปขอลาออก
วันที่เดินไปบอก HR ว่า จะลาออก ก็รู้สึกใจหายอยู่หน่อยๆ เพราะในใจลึกๆ ไม่ได้อยากลาออกหรอก เลยได้แต่บอกตัวเองว่า ถึงเวลาของเราแล้ว ต้องปล่อยมือจากที่นี่แล้ว
แล้วทุกอย่างก็ปิดฉากจบลง
16 Nov 2015 - 31 Mar 2023
เคว้งคว้าง
การลาออกจากที่เก่า เป็นการลาออกที่ไม่ได้อยู่ในแผนของชีวิตปีนี้เลย มันเลยทำให้ตอนที่ออกมาแล้ว มันรู้สึกเคว้งอยู่พักนึง ถามตัวเองว่าเอาไงดี จะทำอะไรต่อไปดี จะยังเป็น CTO อยู่มั้ย หรือจะไปทำงานในตำแหน่งไหน ก็งงๆ อยู่ จนตัดสินใจว่างั้นปีนี้ขอพักละกัน ขอไปค้นหาทางและบริษัทที่เหมาะกับตัวเองก่อนละกัน ถือว่าเป็นการพักร้อนยาว หลังจากที่โฟกัสการทำงานมาตลอด 7 ปี
ผ่านไป 2 สัปดาห์... พี่หนุ่มก็ทักมาชวนไปทำงานกับสยามชำนาญกิจ
แล้วผมก็ตอบ "ตกลง"
สรุป ไม่ได้พัก
พยายามหาเป้าหมายใหม่
ตอนแรกเป้าหมายของผมในปีนี้ คือ การเก็บเกี่ยวประสบการณ์ของงานผู้บริหาร (CTO) แต่พอออกจากงานมา เลยจำเป็นต้องหาเป้าหมายในการทำงานให้อีกครั้ง
ตอนแรกจะทำงาน CTO ต่อ แต่ก็รู้ดีกว่าประสบการณ์ยังไม่เพียงพอเท่าไหร่นัก เลยต้องหาความรู้และประสบการณ์เพิ่มเติมอีกสักหน่อย
และก็ยังมีงานอื่นๆ ที่อยากทำ ช่วงปีนี้เลยลองหาทางเดินของตัวเองใหม่ ว่าจะไปยังไงต่อ ซึ่งคิดว่าเจอแล้ว และพยายามทำให้มันเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นในปีหน้า
เรียนรู้ ฝึกฝน ส่งมอบ
หลังจากตอบตกลงกับพี่หนุ่มแล้ว ก็ได้เข้าไปทำงานในตำแหน่ง "Agile Software Development Experience Delivery"
ชื่อโคตรยาว แต่หลักๆ คือ "ส่งมอบประสบการณ์" (Experience Delivery)
เอาความสามารถและประสบการณ์ของเรา เข้าไปช่วยเหลือลูกค้าในการบริหารจัดการเกี่ยวกับ Software development ได้เข้าไปช่วยในการเป็น coach ในการทำ Agile Transformation ให้แก่ลูกค้าของ sck และยังมีงานช่วยสอนบ้างในบางครั้ง
เอาจริงๆ ตอนแรกก็ยัง งงๆ อยู่ว่าต้องทำอะไรบ้าง เพราะไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย ผมพยายามดูว่า sck ทำงานกันยังไง จนพอจะเข้าใจว่า ควรอยู่ยังไงกับที่นี้ และต้องเพิ่มเติมความรู้ส่วนไหน ซึ่งทำให้เห็น gap ที่กว้างมากๆ เพราะผมเองอยากทำเป็นซะทุกอย่าง ตั้งแต่ Project managements, Development, Testing มันเลยต้องเติมความรู้หลายจุดมาก
หลายๆ ครั้ง ต้องเบรกตัวเองว่า ให้เติมจุดแข็งของตัวเองให้แน่นก่อน ค่อยไปทำส่วนอื่นๆ แต่มันก็อดใจไม่ได้จริงๆ และที่สำคัญผมอยู่กับอะไรเดิมๆ นานไม่ได้ ผมจะเบื่อ และมันจะเริ่มไม่ Happy
แต่โดยรวมงานที่ sck สนุกดี
ประสบการณ์ > อายุงาน
หลังจากที่ออกมาจากที่เก่าทำให้รู้เลยว่า ความรู้ของเรากับข้างนอกมาห่างกันมากแค่ไหน ต้องบอกก่อนกว่าที่เดิมไม่ได้ใช้อะไรที่ล้าหลัง แต่ด้วยเราทำงานลักษณะเดิมๆ มาตลอดทำให้ความรู้บางอย่างมันไม่ได้ใช้งาน เลยไม่ได้สนใจมันมากนัก
แต่พอออกจากงานมา ทำให้ต้องไล่เติมความรู้ในส่วนนั้นมากพอสมควร แต่มันก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถ แค่เวลาไม่ค่อยจะมีนี่สิ (ถถถ+)
ในมุมของตัวเองว่า มี gap เยอะแล้ว ซึ่งก็พอเข้าใจได้เพราะเป็นคนที่อยากรู้ไปซะทุกอย่าง gap มันเลยเยอะ แต่พอไปเจอลูกค้า บางครั้งก็พบว่า พนักงานของบริษัทลูกค้านั้นยังมี gap เยอะกว่าเข้าอีก เลยทำให้เข้าใจประโยคที่พี่หนุ่มชอบบอกว่า
"Senior ประสบการณ์ กับ Senior อายุงาน นั้นมีทักษะต่างกันแค่ไหน"
หลังๆ เวลาเจอน้องๆ เลยชอบ แนะนำน้องๆ ว่า อย่าอยู่ที่ไหนนานเกินไป (ถ้าอยู่แล้วไม่ได้ประสบการณ์และความรู้เพิ่ม) ให้พยายามไปเจอ ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และความรู้ให้ได้เยอะๆ
การป้องกันความเสี่ยง
ปีนี้เป็นปีที่เรียกได้ว่า คลุกคลีกับคำว่า "การป้องกันความเสี่ยง" ทั้งงานที่ทำ ที่ต้องกระตุ้นให้ทีมวางแผนป้องกันความเสี่ยงไว้ด้วย การลงทุน ที่ต้องวางแผนป้องกันความเสี่ยงของเงินลงทุน และสุขภาพ ทุกอย่างล้วนจำเป็นต้องมีการป้องกันความเสี่ยงหมด
แต่ก็นะ ผมพบว่า เรามักจะไม่ค่อนสนใจมันเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่ามันแพง
แพงเงิน แพงเวลา (รู้สึกเสียเวลา) แพงทรัพยากร แพงไปหมด
แต่พอเกิดเหตุขึ้นก็ "ไม่แพง" แล้ว เพราะถูกบังคับว่าต้องจ่าย ซึ่งจ่ายมากกว่าเดิมด้วย 😅
เก็บบันทึกความรู้
ปีนี้ตัดสินใจสร้างเว็บไซต์สำหรับเขียน blog เป็นของตัวเอง โดยได้แรงบันดาลใจจากพี่ปุ๋ย somkie.cc จากการฟังพี่ปุ๋ยตอบคำถามเกี่ยวกับการเขียน blog ของแก โดยพี่ปุ๋ยได้บอกไว้ว่า
ผมเป็นคนความจำสั้น จำอะไรไม่ค่อยได้ ผมเลยต้องหาที่ไว้สำหรับบันทึกสิ่งที่ผมเรียนรู้ไว้ เวลาอยากรู้อะไรก็จะได้ค้นหาได้เลย
ซึ่งพอฟังแล้วก็ ฉุกคิดขึ้นมาได้ มันเป็นความคิดที่ดี เพราะผมเองก็จำอะไรไม่ค่อยได้เหมือนกัน แถมชอบเรียนรู้อะไรต่อมิอะไร เลยทำให้บ่อยครั้งก็ลืมมันไป วิธีพี่ปุ๋ยเลยถือว่าตอบโจทย์เลย
ส่วนที่ตัดสินใจเปิดเป็นเว็บของตัวเอง เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการจดบันทึกบ่อยๆ เพราะใน medium ของผมจะให้ความรู้สึกเป็นทางการเกินไป เขียนบนเว็บตัวเองนี่แหละดี จะเขียนอะไรก็ได้ จะสั่นจะยาวแค่ไหนก็ได้
หากใครเข้ามาพบเจอ blog ที่ผมเขียนไว้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนที่ผ่านไปผ่านมาด้วยเช่นกัน
Happy Lover
ปีนี้ไม่โสดแล้วนะ เป็นปีแรกที่กลับมามีแฟน หลังจากที่ปล่อยเวลาผ่านไปนานหลายปี (โสดอยู่ 7 ปี) ระหว่างทางก็ได้เจอกับอะไรหลายๆ อย่าง ดีบ้าง งอนกันบ้าง
โดยส่วนใหญ่ happy ดี การมีคนคอยอยู่ข้างๆ มันก็ดีไปอีกแบบ แต่ก็นะ ยังรู้สึกว่าตัวเองยังทำหน้าที่แฟนที่ดีไม่ได้เท่าที่ควรเลย เพราะต้องไปโฟกัสอะไรหลายๆ อย่าง
แต่ก็ดีใจที่แฟนเข้าใจ ในสิ่งที่เราทำ และพยายามปรับตัวเข้าหากันทั้งสองฝ่าย
ปีนี้คอยให้กำลังใจ ปลอบใจ แฟนตลอดทั้งปี ว่าสิ่งที่ทำอยู่ มันดีนะ ในตำแหน่งนักวางแผนการเงิน ที่มี product ที่นำเสนอเป็นประกันชีวิตและประกันสุขภาพ กับเป้าหมาย MDRT ที่ต้องทำให้ได้ และน้องพลอยก็ทำได้
จริงๆ ผมก็บอกแฟนเสมอนะว่า ในสายตาคนทั่วไปอาจจะมองเค้าว่าเป็นคนขายประกัน แต่เค้าไม่ได้ขายประกัน แต่เค้าเป็นนักวางแผนการเงินที่มี product ให้เลือกเป็นกันประกันเท่านั้น
ซึ่งมันคนละมุมมองเลย เพราะน้องพลอยสามารถเสนอการจัดการกับการเงินในรูปแบบอื่นๆ ได้ แต่ตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะทำอย่างนั้น
น้องพลอยเก่งที่สุดดดดดดดดด
สุขภาพที่ต้องดูแลอย่างหนัก
หลักจากที่มีสัญญาณบอกว่าต้องดูแลสุขภาพแล้ว ด้วยอาการเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ หน้าชา ปากชา มือชา อ่านหนังสือไม่ได้ จังหวะนั้น คือ ชิบหายแล้ว
พออาการดีขึ้นก็บอกแฟนว่า พี่จะทำประกันชีวิตอย่างไว หลังจากที่แฟนคะยั้นคะยอ อยู่นาน เพราะถ้าเป็นหนักจริง ใช้เงินเยอะแน่ (และไม่ได้มีเงินเยอะขนาดนั้น 555+) ทำหมดทั้งประกันค่ารักษาพยาบาลและประกันชีวิต เอาแบบว่า ไม่ต้องไปรบกวนเงินตัวเอง และเงินครอบครัวเพิ่มเลย เตรียมพร้อมกับการเข้าโรงพยาบาลและการตายแล้ว
หลังจากนั้นเลยตั้งใจในการออกกำลังกายมากขึ้น พยายามออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อย 4 วันต่อสัปดาห์ เพื่อไม่ให้ต้องใช้แผนข้างบน (แผนข้างบนเป็นการป้องกันความเสี่ยง) ซึ่งก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ขึ้นอยู่กับว่าช่วงนั้นทำอะไรอยู่
อาการเจ็บเข่าทำให้ออกกำลังกายต่อเนื่องไม่ได้ ทั้งที่เปลี่ยนจากการวิ่ง มาเป็นเดินเร็วแล้ว ก็ยังคงมีอาการเจ็บเขาอยู่ ก็พยายามดูแลสุขภาพต่อไป พยายามลดของมัน ของทอด และเนื้อสัตว์ เพื่อลดไขมัน ซึ่งทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็ลดลงมาเยอะกว่าปีที่แล้ว
ปีหน้าตั้งเป้าว่าจะลดไขมันลงไปอีก และพยายามจะลดหน้าท้องให้ได้ เพื่อที่จะได้มีสุขภาพและหุ่นที่ดี
การเงินและประกันเป็นสิ่งสำคัญ
จริงๆ ช่วงหลายปีหลังมานี้ผมสนใจเรื่องการลงทุนในหุ้นกับ Crypto พอสมควร แต่ปีนี้พอมีน้องพลอยเข้ามาซึ่งน้องเป็นนักวางแผนการเงินแล้ว เลยทำให้การวางแผนการเงินของตัวเองเป็นระบบมากขึ้น
ปีนี้ที่สนใจเหมือนกันคือ พวกกองทุนและประกัน ซึ่งเอาจริงๆ เมื่อก่อนไม่สนใจเลย พึ่งมาทำเอาตอนนี้ ส่วนประกันเริ่มสนใจตอนเกือบจะ 30 แล้ว ซึ่งตอนนั้นทำไว้งั้นๆ แหละลองดู เพราะสุขภาพยังดีอยู่
จ่ายทิ้งไป 3 ปี ไม่ป่วยสักแอะ พอเข้าปีที่ 4 เท่านั้นแหละ ได้ใช้จริง ใช้คุ้มเลยทีนี้
ยิ่งมาเห็นหลายๆ เคสที่คุยหรือทำประกันกับแฟนแล้ว ยิ่งเน้นย้ำว่ามันสำคัญจริงๆ ทำก่อนเป็นที่จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรค ราคาถูกสุดแล้ว
ซึ่งเป็นสิ่งที่อยากบอกทุกคนมากๆ ว่า "ทำเถอะครับ" มันสำคัญจริงๆ เพราะถ้ามาถึงวันที่สุขภาพเราเริ่มไม่ดีแล้ว วันนั้นเงินที่จ่ายตอนทำประกันมันจะแพงกว่ามากๆๆ (และอาจยกเว้นโรคที่เราเป็นด้วย) และถ้าไม่ทำประกันเลยมันจะยิ่งแพงกว่า
แค่นี้พอมันเหมือนชวนซื้อประกันละ (พอเจอกับตัวเองแล้วมันอิน)
ว่าแล้วก็ tie-in ให้แฟนสักหน่อย 😄
https://www.facebook.com/ployjai.naja
ค้นหาต่อไป
บริษัทที่เปิดมาเพื่อรับงานในตอนนั้น มาถึงตอนนี้ก็ยังคงต้องค้นหาต่อไป ว่าจะเอายังไงกับมันดี แต่ก็พอรู้อะไรหลายๆ อย่างชัดขึ้นว่า ต้องการให้บริษัทเป็นแนวไหน หลังจากที่ปีนี้วุ่นวายกับการย้ายงานและเพิ่มทักษะ ช่วง Q4 พอมีเวลามานั้งคิด จนตกตะกอนบางอย่างได้บ้างแล้ว
ซึ่งปัญหาใหญ่ๆ เลย คือ ผมชอบทำ product เป็นของตัวเอง มากกว่าการรับงานมาทำ มันเลยทำให้บริษัทไม่ขยับสักที (แต่ตอนแรกเปิดมาเพื่อรับงานนะ ถถถ+)
จริงๆ เริ่มวางแผนสำหรับปีหน้าไว้แล้วว่าจะทำอะไร จะพยายามพามันไปต่อ หวังว่าจะเข้าใกล้ความความสำเร็จในปีหน้า
สรุป โดยรวมปีนี้ เป็นปีของการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ทั้งในด้านของงาน ทักษะความรู้ ชีวิตคู่ และความฝัน เป็นปีนี้เหนื่อยอยู่ แต่ยังไม่สุด แต่ที่ใช้จนเกือบเต็มเลย คือ เวลา
— Good Bye 2023 and Happy new Year