การสร้างทีมเป็นหนึ่งในเรื่องที่ระดับผู้บริหารต้องทำ หากใครอยู่ในบริษัทที่มีกระบวนการรับพนักงานและการสร้างทีมที่อยู่ตัวแล้ว อาจจะไม่เห็นกระบวนการเหล่านี้ หรือ หากเป็นบริษัทที่มีเงินเยอะหน่อยไม่มีปัญหาในการรับพนักงานเงินเดือนสูงๆ หรือการดึงดูดคนเข้ามาร่วมงาน ก็อาจจะสามารถสร้างทีมที่มีแต่คนเก่งๆ หรือคนในระดับ Senior เลยก็ได้ ไม่ได้ผิดอะไร
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากเราอยู่ในบริษัทที่ไม่มีความสามารถเเข่งขันในเรื่องของเงินเดือนที่สูง เพื่อดึงดูดคนเข้ามาทำงานให้เรา เราจะต้องทำยังไง หรือ ถ้าอยากสร้างทีมที่แข็งแกร่งขึ้นมาในบริษัทจะต้องทำยังไง?
ทีมที่แข็งแกร่ง != ทีมที่มีแต่คนเก่ง
นิยามเกี่ยวกับทีมของผม ทีมแข็งแกร่งไม่ใช่ทีมที่เอาคนเก่งๆ ความสามารถในงานสายงานสูงมารวมตัวกัน เพราะผมมองว่าบริษัทที่ทำอย่างนั้นได้มีน้อยมาก และมันใช้ Cost ที่สูงมากที่จะสามารถสร้างทีมแบบนั้นได้
ถ้าเราได้ไปทำงานในบริษัทที่ไม่ได้มี Budget ในส่วนของการจ้างงานที่สูง หรืองานไม่ได้ท้าทายมากมาย แนวคิดในการรวมคนเก่งๆ เอาไว้ด้วยกันแบบนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้นเราจำเป็นต้องใช้วิธีอื่นในการสร้างทีม บทความนี้ผมเลยจะอธิบายวิธีการสร้างทีม ที่ผมทำกับชมชอบ
เกริ่นก่อนว่า ชมชอบ ปัจจุบันเป็นบริษัทขนาดเล็กค่อนไปถึงกลาง มีพนักงานไม่เกิน 50 คน เริ่มแรกทางบริษัทรับพนักงานเข้ามาทำงาน โดยยังไม่มีเป้าหมายในการสร้างทีมเลยในตอนแรก ชมชอบรับคนเข้ามาให้ครบตามความต้องการ เพื่อให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ได้ทันตามเวลาเท่านั้น
เมื่อเวลาผ่านไปชมชอบสามารถระดมทุนได้ และมี Budget ในการรับคนเพิ่มมากขึ้นดังนั้นหนึ่งสิ่งที่ผมต้องทำเมื่อได้รับตำแหน่ง CTO คือ การวางโครงสร้างของทีม และกระบวนการทำงานต่างๆ ทั้งหมด เพื่อให้เป็นการวางรากฐานเพื่อเตรียมสำหรับการรองรับจำนวนคนที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งบทความนี้ผมจะมาเล่าให้ทุกคนได้อ่านกัน
เมื่อเราพูดถึงการสร้างทีม สิ่งแรกที่จะต้องมีเลย คือ คน (พนักงาน) และสิ่งที่เราต้องทำในการสร้างทีม คือ
- กำหนดตำแหน่ง (ตำแหน่ง, ทักษะ, หน้าที่ความรับผิดชอบ, ฐานเงินเดือน)
- การหาคน (กำหนดเป้าหมาย, ช่องทาง, ระยะเวลา, การวัดผล)
- การพัฒนาคน (การฝึกทักษะ, การวัดทักษะ, การประเมิน)
ถ้าเราต้องการแค่หาคนเข้ามาทำงานให้เรา เราสามารถที่จะรับสมัครงาน หาคนเข้ามาเติมทีมได้เลย
แต่ถ้าหากเราต้องการสร้างทีมที่แข็งแกร่งแล้ว เราจำเป็นต้องทำ 3 อย่างนี้เสมอ
กำหนดตำแหน่ง
การกำหนดแหน่ง เป็น การที่เราจะต้องระบุสิ่งต่างๆ ของตำแหน่งงาน ไม่ว่าจะเป็น ตำแหน่ง ระดับ ความรับผิดชอบ และฐานเงินเดือน เป็นต้น โดยจะเรียกสิ่งนี้ว่า Career Path
Career Path คือ เส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพที่มีลำดับขั้นของตำแหน่งงานตั้งแต่ต่ำสุดไปจนถึงสูงสุด เช่น งานแรกของเราเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางอาชีพ เมื่อทำงานไปเรื่อยๆ จนสะสมความรู้ ทักษะ และประสบการณ์เพิ่มขึ้น เราอาจได้เลื่อนขั้นไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น โดยเส้นทางอาชีพของแต่ละสายงานก็จะมีความแตกต่างกันไป เพราะบางคนปูเส้นทางอาชีพของตัวเองมาในลักษณะเป็นเส้นตรง เช่น หลังเรียนจบมาทำงานตรงสาย แล้วหลังจากนั้นก็เติบโตขึ้นไปในสายงานนั้นเรื่อยๆ
แต่บางคนก็อาจจะมีเส้นทางอาชีพที่มีความคดเคี้ยว ใช้เวลาในการเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางนานกว่าคนที่มุ่งสู่เป้าหมายเป็นเส้นตรง หรือบางคนอาจจะต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่เพราะเจอกับความล้มเหลวในอาชีพ ดังนั้นเส้นทางอาชีพจึงเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามเงื่อนไขชีวิตของแต่ละบุคคล
Ref: Career Path คืออะไร? พร้อม How to เลือกเส้นทางทั้ง 9 สเต็ป | Techsauce
โดยสิ่งที่ต้องทำในการสร้าง Career Path ขึ้นมา จะประกอบไปด้วย
- Position — ตำแหน่งงานที่มีในทีมทั้งหมด เช่น UX/UI Designer, Software Engineer (Front-end, Back-end), QA Tester เป็นต้น
- Responsibility — หน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละตำแหน่ง โดยกำหนดลงไปเลยว่าแต่ละตำแหน่งต้องรับผิดชอบในเรื่องไหนบ้าง
- Job Level — เป็นส่วนที่บอกว่าพนักงานคนนั้นอยู่ในระดับไหน เช่น Junior, Intermediate, Senior, Executive, MD เป็นต้น โดยจะแยกออกเป็นแต่ละตำแหน่งงานไปเลย ซึ่งจะมี Level ที่เหมือนหรือต่างกันก็ได้
Job Level สามารถแยกระดับให้ละเอียดลงไปได้อีก เพื่อให้ง่ายต่อการประเมินและตัดสินใจเลื่อนขั้นให้พนักงาน เช่น Junior L1 — Junior L5
เมื่อมี Job Level แล้ว ให้ระบุ Skills (ใช้ข้อ 4. ประกอบได้) และ Responsibility ของแต่ละระดับไว้ด้วยว่าจะต้องทำอะไรได้บ้าง ต้องดูแลและรับผิดชอบอะไร - Position Require — เป็นส่วนของการกำหนดทักษะ ความสามารถและประสบการณ์ของพนักงานในแต่ละ Level เพื่อให้พนักงานได้ทราบว่า ถ้าหากต้องการเลื่อนตำแหน่งไปในระดับอื่นจะต้องมีหรือทำอะไรบ้าง และยังใช้เป็นตัวชี้วัดเวลาต้องการเลื่อนตำแหน่งพนักงานด้วย
- Salary Base กำหนดฐานเงินเดือนให้แต่ละตำแหน่งและระดับ อาจจะระบุเป็น Rang ไว้ก็ได้ เพื่อใช้เป็นฐานในการขึ้นเงินเดือนให้แก่พนักงานในตอนที่ได้เลื่อนตำแหน่ง เช่น Jonior จะมีฐานเงินเดือนอยู่ที่ 25k — 35k เป็นต้น
เมื่อเราสร้าง Career Path เรียบร้อยแล้ว เราจะนำ Career Path นี้ไปใช้ในการหาพนักงานและพัฒนาพนักงานในอนาคต และให้จำไว้ว่า ถ้าหาก Career Path ของบริษัทเรายังไม่นิ่ง เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดตามความเหมาะสมและเป้าหมายของบริษัท แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อย่าลืมนึกถึงพนักงานที่ทำงานอยู่กับเราด้วยว่าพวกเขาจะได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหน
เมื่อมีครบทั้งแล้ว เราจะใช้ 5 ข้อนี้ในการพิจารณาในเรื่องของการรับสมัครพนักงาน การพัฒนาพนักงาน ไปจนถึงการปรับขึ้นตำแหน่งและเงินเดือน
ตัวอย่าง
Position + Responsibility
ใช้ในการหาคนเข้ามาในทีมหรือการมอบหมายหน้าที่ให้แก่พนักงาน โดยสิ่งนี้จะทำหน้าที่ระบุขอบเขตของงานและหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบ
Position + Responsibility + Job Level + Position Require
ใช้ในการบอกถึงระดับทักษะของผู้สมัครหรือพนักงานว่าแต่ละคนอยู่ในระดับไหน เราสามารถมาเอา 3 อย่างนี้ มาเพื่อพิจารณาในการเลื่อนตำแหน่งของพนักงาน และใช้ในการวางแผนสำหรับการพัฒนาพนังงานแต่ละคน เพื่อให้ก้าวขึ้นไปยังตำแหน่งถัดไปได้
Position + Responsibility + Job Level + Salary Base
เราจะใช้เพื่อพิจารณาในการเลื่อนปรับขึ้นเงินเดือนของพนักงานเมื่อพนักงานถูกเสนอตำแหน่งที่สูงขึ้น ทั้งนี้ การปรับขึ้นเงินเดือนในขึ้นตอนนี้เป็นเพียงการตรวจสอบว่าตำแหน่งกับฐานเงินเดือนตรงกันหรือเปล่า และจะปรับขึ้นเข้าไหร่นั้น จะขึ้นอยู่กับ Responsibility และ Performance ของพนักงานคนนั้นๆ ด้วย
เมื่อเราเตรียม Career Path เรียบร้อยแล้ว เราก็เอาข้อมูลตรงนี้ ไปเสนอผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจการตัดสินใจก่อน และต้องดูด้วยว่าถ้าจะมีการใช้งานจริงๆ จะกระทบอะไรบ้าง เช่น จะต้องเลื่อนตำแหน่ง หรือ ขึ้นเงินเดือนให้พนักงานเดิม ซึ่งขั้นตอนนี้ขึ้นอยู่กับการเจรจากับทางผู้มีอำนาจตัดสินใจ เป็นต้น
สมมติว่า CEO บริษัทของเราเขาโอเคกับการปรับตำแหน่งและฐานเงินเดือนของพนักงาน เราก็มาพิจาณาดูว่าพนักงานของเราในปัจจุนอยู่ในตำแหน่งไหน และระดับใดบ้าง
ถ้าหากตำแหน่ง หน้าที่ความรับผิดชอบ และทักษะ ยังไม่ตรงกับที่เราระบุเอาไว้ ก็หาโอกาศปรับมันก่อนที่จะรับคนใหม่ๆ เข้ามา ขึ้นอยู่กับสถานะการณ์ และวิธีการ(อย่าไปปรับลดเงินเดือนของพนักงานเชียวละ ถ้ายังอยากให้คนๆ นั้นอยู่ต่อ) เช่น ถ้าตำแหน่งต่ำกว่าทักษะความสามารถของพนักงานก็ให้ปรับตำแหน่งขึ้น ถ้าทักษะยังต่ำกว่าทักษะที่ระบุไว้ก็ให้เพิ่มทักษะที่ยังขาดไป เป็นต้น
หลังจากที่เราได้กำหนดตำแหน่งงาน นำเสนอ ได้รับการพิจารณา และได้รับอนุมัตจากผู้มีอำนวจการตัดสินใจแล้ว เราสามารถทำเรื่องต่อไปได้แล้ว นั้นคือ การหาคนนั่นเอง